เมนู

มหาวรรค



อรรถกถาญาณกถามาติกา



1. อรรถกถาสุตมยญาณุทเทส


ว่าด้วย สุตมยญาณ


ในอุทเทสนั้นเบื้องแรก พึงทราบ โสต ศัพท์ ในคำนี้ว่า
โสตาวธาเน ปญฺญา สุตมเย ญาณํ มีประเภทแห่งอรรถเป็นอเนก.
จริงอย่างนั้น โสต ศัพท์นั้นย่อมปรากฏ
ในอรรถว่า มังสโสตะ, โสตวิญญาณ,
ญาณโสตะ, กระแสแห่งตัณหาเป็นต้น, สายธาร
แห่งกระแสน้ำ, อริยมรรค, และแม้ในความสืบ
ต่อแห่งจิต.

ก็ โสต ศัพท์ นี้ ย่อมปรากฏในอรรถว่า มังสโสตะ ได้ในคำ
เป็นต้นว่า โสตายตนะ, โสตธาตุ และโสตินทรีย์.1
ปรากฏในอรรถว่า โสตวิญญาณ ได้ในคำเป็นต้นว่า ได้ยิน
เสียงด้วยโสตะ
2.
1. อภิ. วิ. 35/ 101. 2. ม.มู. 12/ 14.

ปรากฏในอรรถ ญาณโสตะ ได้ในคำเป็นต้นว่า ได้ยินเสียง
ด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์
1
ปรากฏในธรรมทั้ง 5 มีตัณหาเป็นต้น ได้ในคำเป็นต้นว่า
คำว่า กระแสเหล่าใดในโลก ความว่า กระแสเหล่านี้ใด เรา
บอกแล้ว กล่าวแล้ว แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แต่งตั้งแล้ว
เปิดเผยแล้ว จำแนกแล้ว ทำให้ตื้นขึ้นแล้ว ประกาศแล้ว,
นี้อย่างไร ? คือ กระแสตัณหา, กระแสทิฏฐิ, กระแสกิเลส,
กระแสทุจริต, กระแสอวิชชา
2.
ปรากฏในอรรถว่า สายธารแห่งกระแสน้ำ ได้ในคำเป็นต้นว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นแล้วแล ซึ่งท่อนไม้
ท่อนใหญ่ถูกกระแสน้ำพัดไปในแม่น้ำคงคา
3.
ปรากฏในอรรถว่า อริยมรรค ได้ในคำเป็นต้นว่า ดูก่อน
อาวุโส คำนี้ เป็นชื่อของอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ คือ โสตะ.

ปรากฏในอรรถว่า ความสืบต่อแห่งจิต ได้ในคำเป็นต้นว่า และ
ย่อมรู้กระแสวิญญาณของบุรุษ ซึ่งขาดแล้วโดยส่วน 2 คือ
ทั้งที่ไม่ตั้งอยู่ในโลกนี้ ทั้งที่ไม่ตั้งอยู่ในปรโลก
4.
1. ที.ปา. 11/431. 2. ขุ.จูฬ. 30/76. 3. สํ.สฬา. 18/325.
4. ที.ปา. 11/79.

ก็โสตศัพท์ในที่นี้ พึงหมายเอา มังสโสตะ.
ชื่อว่า โสตาวธาน เพราะอรรถว่า ทรงไว้ กำหนดไว้ ตั้งไว้
ด้วยโสตะนั้น เป็นเหตุ หรือเป็นเหตุให้สำเร็จ. ชื่อว่า โสตาวธาน
นั้นอย่างไร ? คือ สุตะ. ก็ธรรมชาติที่รู้แจ้ง กำหนดได้โดยครรลอง
แห่งโสตทวาร ชื่อว่า สุตะ ดุจในคำเป็นต้นว่า เป็นผู้สดับมาก
เป็นผู้ทรงสุตะ เป็นผู้สั่งสมสุตะ1, สุตะนั้น ในที่นี้ท่านกล่าวว่า
โสตาวธาน. ปัญญาที่เป็นไปในสุตะกล่าวคือโสตาวธานนั้น ชื่อว่า
โสตาวธาเน ปญฺญา.
ก็ บทว่า ปญฺญา ได้แก่ปัญญาโดยอรรถว่าเป็นเครื่องทำให้
รู้ชัด กล่าวคือ เป็นเครื่องทำอรรถะนั้น ๆ ให้ปรากฏ. อีกอย่างหนึ่ง
ธรรมชาติใด ย่อมรู้ธรรมทั้งหลายโดยประการนั้น ๆ คือ โดยอนิจ-
ลักษณะเป็นต้น ฉะนั้น ธรรมชาตินั้น จึงชื่อว่า ปัญญา.
พึงทราบ สุต ศัพท์ ทั้งทีมีอุปสรรคและไม่มีอุปสรรคในคำนี้ว่า
สุตมเย ญาณํ ดังนี้ ก่อน
สุตศัพท์ ย่อมปรากฏในอรรถว่า ไป.
ปรากฏ, กำหนัด, ประกอบเนือง ๆ, สั่งสม,
สัททารมณ์, รู้ได้ ตามครรลองแห่งโสตทวาร.

1. ม.มุ. 12/376.

จริงอย่างนั้น สุตศัพท์ มีอรรถว่า ไป ได้ในคำเป็นต้นว่า
เสนาย ปสุโต เสนาเคลื่อนไป.
สุตศัพท์ มีอรรถว่า มีธรรมอันปรากฏแล้ว ได้ในคำเป็นต้นว่า
สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต มีธรรมอันสดับแล้วเห็นอยู่.1
สุตศัพท์ มีอรรถว่า กำหนัดและไม่กำหนัด ได้ในคำเป็นต้นว่า
อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺส ปุริสปุคฺคลสฺส2 ภิกษุณีกำหนัดยินดีแล้วต่อ
บุรุษบุคคลผู้ไม่กำหนัดยินดีแล้ว.
สุตศัพท์ มีอรรถว่า ประกอบเนือง ๆ ได้ในคำเป็นต้นว่า เย
ฌานปสุตา ธีรา
3 กุลบุตรเหล่าใดประกอบเนืองๆ ในฌาน กุลบุตร
เหล่านั้น ชื่อว่า นักปราชญ์.
สุตศัพท์ มีอรรถว่า สั่งสมได้ในคำเป็นต้นว่า ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ
ปสุตํ อนปฺปกํ
4 บุญมิใช่น้อยอันท่านทั้งหลายสั่งสมไว้แล้ว.
สุตศัพท์ มีอรรถว่า สัททารมณ์ ได้ในคำเป็นต้นว่า ทิฏฺฐํ สุตฺ
มุตํ วิญฺญาตํ
5 รูปอันเราเห็นแล้ว เสียงอันเราได้ยินแล้ว หมวด 3 แห่ง
อารมณ์อันเราทราบแล้วอารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว.
1. ขุ.อุ. 25/51. 2. วิ.ภิกฺขุนี. 3/1. 3. ขุ.ธ. 25/24.
4. ขุ.ขุ. 25/8. 5. ม.ม. 12/281.

สุตศัพท์ มีอรรถว่า ทรงไว้ซึ่งสัททารมณ์อันตนรู้แล้วโดยครรลอง
แห่งโสตทวาร ได้ในคำเป็นต้นว่า พหุสฺสุโต โหติ สุตธโร
สุตสนฺนิจโย
1 เป็นผู้สดับมาก เป็นผู้ทรงสุตะ เป็นผู้สั่งสมสุตะ. แต่
ในที่นี้ สุตะศัพท์มีอรรถว่า อันตนรู้แล้ว. เข้าไปทรงไว้แล้วโดย
ครรลองแห่งโสตทวาร.
บทว่า สุตมเย ญาณํ ความว่า ปัญญานี้ได้ ปรารภพระ-
สัทธรรม คือ สุตะนี้ ที่รู้แล้ว ทรงจำไว้ได้แล้ว กระทำให้เป็น
อารมณ์ เป็นไปแล้วในครั้งแรกและครั้งต่อ ๆ มา, ปัญญาญาณนั้น
ย่อมเป็นอันท่านกล่าวแล้วว่า สุตมเย ญาณํ ญาณอันสำเร็จแล้วด้วย
การฟัง, อธิบายว่า สุตมยํ ญาณํ นั่นเอง. ก็คำว่า สุตมเย นี้
เป็นปัจจัตตวัจนะ, ปัจจัตตวัจนะ ในคำเป็นต้นว่า น เหวํ วตฺตพฺเพ
ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น, วนปฺปคุมฺเพ ยถา ผุสฺสิตคฺเค พุ่มไม้ในไพร
มรยอดคือดอกบานสะพรั่ง, นตฺถิ อตฺตกาเร การกระทำของตน ไม่มี,
นตฺถิ ปรกาเร การกระทำของคนอื่น ไม่มี, นตฺถิ ปุริสกาเร การกระทำ
ของบุรุษ ไม่มี ดังนี้ ฉันใด แม้ในที่นี้ บทว่า สุตมเย ก็พึงเข้าใจ
ฉันนั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า สุตมยํ ญาณนฺติ อตฺโถ
อธิบายว่า ญาณอันสำเร็จแล้วด้วยการฟัง ดังนี้.
1. ม.มู. 12/376.

อีกอย่างหนึ่ง หมวดธรรมมีผัสสะเป็นต้น อันสำเร็จแล้วด้วย
การฟัง จึงชื่อว่า สุตมยะ, ญาณเป็นไปในหมวดแห่งธรรมที่ชื่อว่า
สุตมยะนั้น คือสัมปยุต กับด้วยสุตมยะนั้น ชื่อว่า สุตมเย ญาณํ.
ญาณนั้นนั่นแล ท่านกล่าวว่า ปัญญา เพราะไม่กำหนดก็เพื่อจะอธิบาย
โดยปริยาย ภายหลังจึงกล่าวกำหนดว่า ญาณ ท่านสาธุชนพึงทราบ
ตามที่กล่าวมานี้.
ก็ชื่อว่า ญาณ มีการแทงตลอดสภาวะเป็นลักษณะ หรือมี
การแทงตลอดอย่างไม่ผิดพลาดเป็นลักษณะ เหมือนการยิงลูกศรอัน-
นายขมังธนูผู้ชาญฉลาดยิงไปแล้วฉะนั่น.
มีการส่องซึ่งอารมณ์เป็นรส เหมือนดวงประทีปส่องสว่างฉะนั้น.
มีความไม่หลงเป็นปัจจุปัฏฐาน เหมือนพรานป่าบอกทางแก่
คนหลงทางฉะนั้น.
มีสมาธิเป็นปทัฏฐาน ตามพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุมีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง.
1
ก็ในลักษณะเป็นต้น พึงทราบว่า สภาวะก็ดี สามัญญะก็ดี
ชื่อว่า ลักษณะ, กิจก็ดี สมบัติก็ดี ชื่อว่า รส, อาการที่ปรากฏก็ดี
ผลก็ดี ชื่อว่า ปัจจุปัฏฐาน, เหตุใกล้ ชื่อว่า ปทัฏฐาน ดังนี้.
1. สํ. สฬา. 18/147.

2. อรรถกถาสีลมยญาณุทเทส


ว่าด้วย สีลมยญาณ


คำว่า สุตฺวาน สํวเร ปญฺญา ความว่า :-
ธรรม 5 ประการเหล่านี้ คือ ปาฏิโมกข์ 1
สติ 1 ญาณ 1 ขันติ 1 และ วิริยะ 1 ท่าน
แสดงว่าสังวร.

สังวรที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า
เป็นผู้เข้าถึง, เข้าถึงพร้อม, เข้ามา, เข้า
มาพร้อม, ถึงแล้ว, ถึงพร้อมแล้ว, ประกอบ
พร้อมแล้ว ด้วยปาฏิโมกขสังวรนี้1 ชื่อว่า ปาฏิ-
โมกขสังวร.

สังวรที่มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า
ภิกษุเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต
ไม่ถืออนุพยัญชนะ, เธอย่อมปฏิบัติ เพื่อสำรวม
จักขุนทรีย์ เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้
อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌาและโทมนัส

1. อภิ.วิ.35/602.